บทที่ 7 หนีอีกครั้ง

ทันทีที่สิ้นเสียงของรดา สีหน้าของเจตน์ก็ดูทะมึนลงยิ่งกว่าเดิม

อรวินท์อดขำออกมาไม่ได้ เธอพูดฉีกหน้าความจอมปลอมของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจว่า "รดา ถ้าเธอไม่พูดประโยคนี้ ฉันว่าคุณเจตน์คงไม่โกรธขนาดนี้หรอก"

รดาชะงักไปเล็กน้อย คงคาดไม่ถึงว่าอรวินท์จะกล้าหักหน้าเธอโต้งๆ แบบนี้

ยังไม่ทันที่รดาจะตั้งสติได้ อรวินท์ก็พูดเหน็บแนมต่อว่า "ดูสิ พอเธอพูดจบปุ๊บ หน้าคุณเจตน์ก็ดำเป็นก้นหม้อแล้วเนี่ย"

รดาถึงกับพูดไม่ออกเหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่คอ เถียงกลับไม่ได้สักคำ

ส่วนสีหน้าของเจตน์ก็เป็นไปตามคาด เขายิ่งทำหน้าบึ้งตึงกว่าเดิม บรรยากาศรอบตัวแผ่รังสีความเย็นยะเยือกออกมา

บรรยากาศในห้องส่วนตัวราวกับถูกพายุหิมะถล่ม อุณหภูมิลดฮวบจนถึงจุดเยือกแข็งในพริบตา

สติสัมปชัญญะเฮือกสุดท้ายเตือนอรวินท์ว่าต้องหยุดพูดได้แล้ว ถึงแม้ตอนนี้เธอจะไม่เหมือนเมื่อสามปีก่อน แต่ก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง ขืนยังปากดีต่อ ด้วยนิสัยของเจตน์ เขาคงไม่ปล่อยเธอไว้แน่!

เธอเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มแห้งๆ แล้วถามว่า "คุณเจตน์ ไม่สบายหรือเปล่าคะ? ทำไมหน้าตาดูแย่ขนาดนั้น? หรือว่าฉันพูดอะไรให้คุณไม่พอใจคะ?"

เจตน์จ้องมองการแสดงของเธอเงียบๆ ด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ

อรวินท์ถูกจ้องจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ จึงได้แต่ยิ้มแก้เก้อ "คุณเจตน์ คุณเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ถ้าฉันพูดอะไรผิดไป คุณอย่าถือสาเลยนะคะ ฉันขอโทษค่ะ"

พูดจบ เธอยังขยิบตาให้เจตน์อีกที ดูยังไงก็ไม่ใช่ท่าทางของคนสำนึกผิดเลยสักนิด

แววตาของเจตน์คมกริบและเย็นยะเยือก เขาโกรธจนแค่นหัวเราะออกมา "หึ..."

บรรยากาศในห้องเย็นเฉียบลงทันที ราวกับว่าโต๊ะอาหารจะถูกพลิกคว่ำได้ทุกวินาที

เพื่อนร่วมงานสองคนที่นั่งข้างอรวินท์ก้มหน้างุด หดคอด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือหายใจแรง

แม้แต่รดาที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า กลัวว่าไฟโทสะนี้จะลามมาถึงตัว

อรวินท์กระตุกมุมปาก รู้ว่าสถานการณ์เริ่มตึงเครียดเกินไปแล้ว ขืนยั่วโมโหเจตน์ต่อ วันนี้เธอคงไม่ได้ออกไปแบบมีลมหายใจแน่

เธอจึงแกล้งเอามือกุมท้อง ทำหน้าเจ็บปวดทันที "โอ๊ย... ปวดท้องจังเลยค่ะ ขอโทษนะคะ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ"

ภายใต้สายตาอันน่ากลัวของเจตน์ เธอลุกขึ้นยืนพรวด ในมุมที่เจตน์มองไม่เห็น เธอขยิบตาส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมงานสองคนที่มาด้วยกัน ประมาณว่าให้รีบตามเธอออกไปเดี๋ยวนี้

ก้นของอรวินท์เพิ่งจะลอยจากเก้าอี้ เสียงเย็นยะเยือกของเจตน์ก็ดังเข้าหู "หยุดเดี๋ยวนี้!"

อรวินท์ชะงักกึกโดยอัตโนมัติ มือกุมท้องแน่น "ขอโทษจริงๆ ค่ะคุณเจตน์ ฉันปวดท้องมากจริงๆ ขอตัวนะคะ"

พูดจบ เธอก็ไม่เปิดโอกาสให้เจตน์ได้พูดอะไรอีก รีบหันหลังแล้วใส่เกียร์หมาวิ่งหนีทันที

ความโกรธพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นสมอง เจตน์รีบลุกขึ้นจะไปคว้าตัวอรวินท์ แต่เธอกลับไวดั่งกระต่าย วิ่งหายวับไปในพริบตา

คว้าได้แต่ความว่างเปล่า เจตน์โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทุบโต๊ะดัง 'ปัง!' เสียงดังสนั่นจนน่ากลัว

"บ้าเอ๊ย!" ปล่อยให้หนีไปได้อีกแล้ว!

แรงระเบิดอารมณ์ของเจตน์ทำให้เพื่อนร่วมงานสองคนนั้นตัวแข็งทื่อ จะลุกหนีก็ไม่ได้ จะอยู่ต่อก็ไม่กล้า ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

อรวินท์วิ่งกลับไปที่ห้องออกแบบ รีบพิมพ์ใบลาออกแล้วยื่นส่งด้วยความเร็วแสง

การที่เจตน์รู้ความเคลื่อนไหวของเธอเป็นเรื่องอันตรายมาก ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

หลังจากออกจากห้องออกแบบ ด้วยความรู้สึกผิดที่ทิ้งเพื่อนไว้ เธอจึงโทรหาเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง

เสียงรอสายดังอยู่นานกว่าจะมีคนรับ อรวินท์กดเสียงต่ำถามว่า "พี่เนตร ออกมากันหรือยังคะ?"

พี่เนตรอึกอักไม่ยอมตอบ แต่กลับเป็นเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังลอดมาแทน "อรวินท์ ฉันให้เวลาเธอห้านาที ไสหัวกลับมาขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!"

อรวินท์กำโทรศัพท์แน่น หน้าซีดเผือด เป็นเจตน์!

ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วร่าง เธอกดวางสายทันทีแล้วเร่งฝีเท้าหนีออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด

เธอต้องหนีไปให้ไกลจากเจตน์ ไม่มีทางกลับไปขอโทษเขาหรอก!

ส่วนเพื่อนร่วมงานที่ไปกินข้าวด้วยกัน อรวินท์ก็ได้แต่ภาวนาขอให้พระคุ้มครองพวกเขาก็แล้วกัน

……

หลังจากออกจากห้องออกแบบ อรวินท์เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เธอตั้งใจจะหางานใหม่

เธอซื้อหนังสือพิมพ์รับสมัครงานมาฉบับหนึ่ง มือซ้ายถือขนมปังที่เพิ่งซื้อมา นั่งลงบนม้านั่งข้างทางแล้วตั้งใจเปิดหาดู

ในที่สุดเธอก็สะดุดตากับบริษัทโฆษณาแถวนั้น ที่กำลังรับสมัครครีเอทีฟดีไซเนอร์ เงินเดือนดี แถมเวลาทำงานยังยืดหยุ่น แค่ทำงานให้เสร็จตามกำหนดก็เลิกงานได้เลย

ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาทันที เธอจัดแจงเรซูเม่แล้วตรงดิ่งไปสมัครงานที่บริษัทโฆษณานั้น

ผู้จัดการฝ่ายบุคคลรับเรซูเม่ของอรวินท์ไปดูด้วยสองมือ แล้วรับเธอเข้าทำงานทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แถมยังให้เริ่มงานได้เลยเดี๋ยวนี้

ไหนๆ ก็ว่างอยู่แล้ว อรวินท์จึงตอบตกลง

เธอมีประสบการณ์อยู่แล้ว พอศึกษางานสักพักก็เริ่มงานได้คล่องแคล่ว

เธอยุ่งจนตะวันตกดินกว่าจะเคลียร์งานในมือเสร็จ

พอเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความอ่อนล้า คิ้วสวยก็ขมวดมุ่น รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง

จนกระทั่งเหลือบไปเห็นรูปจินตหราบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ถึงได้นึกขึ้นได้ "แย่แล้ว ลืมไปรับลูก!"

เธอรีบเก็บข้าวของอย่างลนลาน

ขาข้างหนึ่งของอรวินท์เพิ่งก้าวพ้นประตูบริษัท โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อที่กะพริบอยู่บนหน้าจอทำให้เธอเผลอยิ้มออกมา พอกดรับสายก็รีบขอโทษทันที "น้องจิน แม่ขอโทษนะลูก แม่ทำงานเพลินจนลืมไปรับหนูเลย..."

ยังพูดไม่ทันจบ จินตหราก็พูดแทรกขึ้นมา "หม่ามี้ ไม่ต้องมารับหนูแล้วนะ! หนูเจอเพื่อนใหม่ที่โรงเรียน เขาจะไปเที่ยวบ้านเรา หนูจะติดรถเขาไปลงที่บ้านนะค้า บ๊ายบายหม่ามี้!"

อรวินท์ทำหน้างง ยังไม่ทันตั้งสติ จินตหราก็วางสายไปแล้ว

เธอได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ แล้วเรียกรถแท็กซี่ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ตั้งใจจะซื้อของมาทำเมนูโปรดของเด็กๆ เพื่อต้อนรับเพื่อนใหม่ของจินตหรา

พออรวินท์ซื้อกับข้าวเสร็จกลับมาถึงบ้าน พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว

ฝีเท้าที่เร่งรีบของเธอต้องชะงักลงเมื่อเห็นบอดี้การ์ดชุดดำยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้าน บอดี้การ์ดรูปร่างกำยำ สีหน้าเคร่งขรึม ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว

เธอกระแอมไอเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเดินช้าลง

หลังจากเช็คเลขที่บ้านจนแน่ใจแล้ว อรวินท์ถึงได้ผลักประตูเข้าไป

บนโซฟาในห้องนั่งเล่นมีเจ้าตัวเล็กสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งคือจินตหราลูกรักของเธอ ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้ชาย...

พอได้ยินเสียงเปิดประตู จินตหราก็รีบกระโดดลงจากโซฟา วิ่งมาโถมตัวใส่อ้อมกอดของอรวินท์ "หม่ามี้ กลับมาแล้วเหรอ! รีบมาดูเร็วเข้า ว่าหนูพาใครมาด้วย!"

พูดจบ เธอก็ลากมืออรวินท์เดินไปที่โซฟา

มือน้อยๆ อวบอ้วนดึงมือของณัฐนนท์ขึ้นมา ดวงตายิ้มจนเป็นรูปสระอิ "หม่ามี้ หนูพาพี่ชายกลับมาแล้ว!"

จริงเหรอ?

อรวินท์ยืนตะลึงอยู่กับที่ กะพริบตาที่เริ่มแสบร้อนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ลูกชายที่เธอเฝ้าคิดถึงเช้าเย็นอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่เหมือนครั้งก่อนที่บ้านเก่า ครั้งนี้ณัฐนนท์มายืนอยู่ตรงหน้าเธอจริงๆ!

จนกระทั่งจินตหราเอามือเล็กๆ ของณัฐนนท์มาวางบนฝ่ามือเธอ สัมผัสได้ถึงไออุ่นจริงๆ เธอถึงได้สติกลับมา

อรวินท์น้ำตาคลอเบ้าทันที เธอนั่งยองๆ ลง แล้วลูบแก้มยุ้ยๆ ขาวผ่องของณัฐนนท์อย่างทะนุถนอม

เธอเคยฝันถึงเขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทุกครั้งที่ตื่นมา น้ำตาก็เปียกชุ่มหมอน

แต่วันนี้ฝันของเธอเป็นจริงแล้ว ได้สัมผัสลูกชายที่ไม่ได้เจอกันมาสามปี

พี่รมย์ชลีที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ขอบตาแดงก่ำ พูดเสียงสั่นเครือว่า "คุณผู้หญิงคะ น้องจินกับนายน้อยเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แถมยังอยู่ห้องเดียวกันด้วยค่ะ"

อรวินท์ยิ้มทั้งน้ำตา หยดน้ำใสๆ ไหลรินลงมา

ณัฐนนท์เบิกตากว้างมองเธอ แล้วยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอโดยอัตโนมัติ "คืนงานวันเกิดคุณทวด ผมเหมือนจะเคยเจอคุณ คุณคือแม่ของผมจริงๆ เหรอครับ?"

อรวินท์พยักหน้า ลูบผมที่นุ่มสลวยของเขา "ใช่จ้ะ แม่เป็นแม่ของหนูเอง"

พอได้ยินคำตอบที่แน่ชัด ณัฐนนท์ก็ยิ้มออกมา ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส

อรวินท์อดใจไม่ไหวอีกต่อไป ดึงเขาเข้ามากอดแน่น ร่างกายที่หอมและนุ่มนิ่ม แต่กลับดูบอบบางเหลือเกิน

ทั้งที่อายุเท่ากับจินตหรา แต่ณัฐนนท์ที่อยู่ตรงหน้ากลับดูเป็นผู้ใหญ่และนิ่งเกินวัย

ตัวเล็กกว่าจินตหรานิดหน่อย และผอมกว่าด้วย

วินาทีนี้ เธอทั้งปวดใจและโทษตัวเอง ไม่รู้ว่าลูกของเธอต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนภายใต้การดูแลของรดา!

จินตหราที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มร่าแล้วกระโดดเข้ามากอดด้วย "หม่ามี้! หนูขอกอดด้วย! หนูหาพี่ชายเจอแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไป เราจะไม่แยกจากกันอีกแล้วนะ!"

อรวินท์พยักหน้าอย่างหนักแน่น ให้คำมั่นสัญญา "จ้ะ เราครอบครัวเดียวกันจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว"

พอพูดคำว่า "ครอบครัวเดียวกัน" ใจของอรวินท์ก็กระตุกวูบ ใบหน้าของเจตน์ลอยเข้ามาในหัวทันที

เธอแค่นยิ้มเย็นในใจ เจตน์ไม่มีค่าพอที่จะมาเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเธอหรอก ปล่อยให้เขาไปตายรังกับผู้หญิงร้ายกาจอย่างรดาเถอะ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป